เรื่อง : สกลวรรธน์ ธัญคุณากูลรัชต์
Key Data
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ปี 2557
-70%
นักวิจัยอยู่ในภาคอุดมศึกษาหรือภาครัฐ
-รายได้นักวิจัยอยู่ที่ 100,000 – 35,000 บาท/เดือน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) 25 สิงหาคม
2560
-สนับสนุนให้เกิดนักวิจัยมาแล้วกว่า 60,000 คน
-สนับสนุนทุนวิจัย 20,000 โครงการ
ผลงานการวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) 6 กุมภาพันธ์
2560
- มีงานวิจัยที่ใช้ได้จริง
เป็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ 20%
- ใช้งานไม่ได้เลยหรือเป็นวิจัยขึ้นหิ้ง 80%
- ประเทศเยอรมนี
มีงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจได้ 70-80%
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
นอกจากแรงงานฝีมือแล้ว
งานวิจัยเชิงคุณภาพ หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า งานวิจัยและพัฒนา คืออีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องการมากที่สุดในการก้าวเข้าสู่ยุค
4.0 เพราะการนำพาประเทศไปสู่จุดๆ นั้นได้ ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม”เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในภาพรวม
ซึ่งนั้นต้องหมายถึงระบบการศึกษา
คุณภาพนักศึกษาและอาจารย์ รวมไปถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมรวมถึงการวิจัยที่ต้องเข้มข้นมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวแปรสำคัญในการให้ประเทศไทย
สร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้โดยสมบรูณ์ ทว่า แม้ทางรัฐบาลจะหวังให้ประเทศไทยให้เป็นดินแดนแห่งนวัตกรรมซักเพียงใด
แต่ในความเป็นจริงก็ยังดูไม่ชัดเจน เท่าไหร่นัก ประกอบกับงานวิจัยส่วนใหญ่
จะเน้นไปที่วิจัยขึ้นหิ้งมากกว่าวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งทำให้การผลของการวิจัยส่วนใหญ่จะเสียเวลาเปล่าหรือเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) ได้รับบทบาทสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่ง มีส่วนสัมพันธ์ต่อการการวิจัยอยู่ไม่น้อยและเคยสร้างผลงานวิจัยที่น่าสนใจเอาไว้มากมาย
แต่เหมือนนางอรรชกา สีบุญเรือง
รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลับไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่นัก
เนื่องจากผลงานเกินครึ่งของ สวทช. มีผลงานวิจัยที่ขึ้นหิ้ง
ที่แม้แต่เอกชนและอุตสาหกรรมเองก็ไม่สามารถหยิบไปใช้ประโยชน์อะไรได้
ขณะที่งานวิจัยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีอยู่แค่ 20%
เท่านั้น ขณะที่ประเทศเยอรมนี มีงานวิจัยเชิงคุณภาพและใช้ไดจริงถึง 70-80%
แม้การวิจัยของ สวทช. จะไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ของงานวิจัยและอาจไม่สามารถเอามาวัดศักยภาพการวิจัยของทั้งประเทศได้ แต่สิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นคือคุณภาพและศักยภาพจากหน่วยงานของภาครัฐ ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจให้ไปถึงระดับโลกด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่ามีประสิทธิภาพในการพัฒนางานวิจัยด้วยตนเองเป็นอย่างไร
แม้การวิจัยของ สวทช. จะไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ของงานวิจัยและอาจไม่สามารถเอามาวัดศักยภาพการวิจัยของทั้งประเทศได้ แต่สิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นคือคุณภาพและศักยภาพจากหน่วยงานของภาครัฐ ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจให้ไปถึงระดับโลกด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่ามีประสิทธิภาพในการพัฒนางานวิจัยด้วยตนเองเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่สนใจเรื่องของการวิจัยเชิงคุณภาพเลยก็ดูจะเป็นการใส่ร้ายเกินไป
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้พยายามยกระดับงานวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมอยู่มากมาย
และในที่สุดภาครัฐก็ได้คลำมาเจอแสงสว่าง นั้นคือการดึงมหาวิยาลัยหรืออุดมศึกษาต่างๆ
มาร่วมส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยต่างๆ ให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในแง่ของการยกระดับอุตสาหกรรม
เนื่องจากในสถาบันการศึกษามีเด็กเลือดใหม่ที่มีแนวคิดล้ำสมัย
พร้อมที่จะพัฒนานวัตกรรมอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เก็บ “กุญแจสู่ความสำเร็จ”
ในการสร้างงานวิจัยเชิงคุณภาพนั้นก็คือ
“นักวิจัย”
“หากเราอยากทานอาหาร ก็ต้องไปหาแม่ครัว” และหากคุณต้องการงานวิจัย
(ดีๆ) คุณก็หาไม่ได้จากใครนอกจากนักวิจัย ทว่านักวิจัยมืออาชีพกว่า 70% ส่วนใหญ่ก็อยู่ในอุดมศึกษาหรือไม่ก็มหาวิทยาลัย
ประกอบกับมหาวิทยาลัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการการวิจัยโดยตรง
ความต้องการคนกลุ่มนี้มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักวิจัยเองก็เลือกที่จะอยู่ในสถาบันการศึกษามากกว่าไปทำงานให้กับเอกชน เพราะรายได้ไม่ต่างกันแต่งานเหนื่อยน้อยกว่ามาก
(ผลสำรวจของนักวิจัยในปี 2554-56 พบว่านักวิจัยที่อยู่ในภาคเอกชนมีสัดส่วนที่น้อยกว่าในภาครัฐ)
ดร.เกรียงชัย
รุ่งฟ้าใหม่ นักวิจัยนโยบายอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้เคยให้ความเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวกับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า
การที่นักวิจัยไปกระจุกตัวอยู่ในสถาบันศึกษาอยู่มากมายนั้น มาจากมุมมองในการดำเนินธุรกิจของเอกชนในอดีตที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนักวิจัยหรืองานวิจัยเท่าไหร่นัก
ถ้ามีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสร้างนวัตกรรม ส่วนใหญ่จะใช้บริการจากต่างประเทศเป็นหลัก
หรือซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากต่างแดนมาเลย แต่ไม่มีการพัฒนางานวิจัยของตนเอง
ยังไม่รวมถึงการมุ่งเน้นการผลิตแบบ OEM มากกว่า R&D นั้นจึงเป็นการปิดโอกาสให้นักวิจัยในการพัฒนาตนในองค์กรเอกชน ขณะที่การแข่งขันในมหาวิทยาลัยก็ไม่สูงเหมือนกับบริษัทแถมยังรายได้งาม
นักวิจัยจึงเลือกที่จะอยู่ในสถาบันการศึกษามากกว่าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทเอกชน
ทว่า ปัจจุบันมุมมองของเอกชนต่องานวิจัยเปลี่ยนไป
หลายบริษัทเริ่มเปิดใจและต้องการนักวิจัยมากขึ้น เอกชนบางแห่งตั้งศูนย์วิจัยในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าเส้นทางอนาคตของนักวิจัยเปิดกว้างขว้างยิ่งขึ้น
ถ้าภาครัฐเองเข้ามาช่วยผลักดันเพิ่มเติม ดึงศักยภาพบุคลากรเหล่านี้ผ่านการสนับสนุนด้านทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องสนใจว่านักวิจัยจะอยู่ในหน่วยงานไหน แต่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมอย่างเข้มข้น นักวิจัยเหล่านี้จะกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยเชิงคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยมและการสร้างนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมก็จะไม่ใช่ฝันอีกต่อไป เพราะเราไม่ได้สนใจว่านักวิจัยจะอยู่ที่ไหน แต่การผลักดันจากรัฐบาลจนเกิดนวัตกรรมโดยฝีมือคนไทยต่างหากที่เราต้องการ
และอีกนัยหนึ่ง
สถาบันการศึกษาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยนักวิจัย ก็คือขุมทรัพย์ที่จะสร้างประเทศไทยยุค 4.0
นั้นเอง ซึ่งถือว่ารัฐเดินมาถูกทางแล้ว
คอลัมน์ ลับเฉพาะ : R&D ในไทยกำลังสูญพันธ์ นักวิจัยหายไปไหน?
Reviewed by tonygooog
on
01:58:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: