เรื่องสกลวรรธน์ ธัญคุณากูลรัชต์
Key Data
1.ค่าใช้จ่ายด้านการการวิจัยและพัฒนาของไทยหรือ
Gross Expenditures on R&D (GERD) ต่อ GDP ของประเทศ
วันที่
: รวบรวมข้อมูลปี
56,57,58 และ 61
ข้อมูลจาก
: สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์
(สวทน.)
-2556 ค่าใช้จ่ายด้านการการวิจัยและพัฒนาของไทย 0.47%
-2557 ค่าใช้จ่ายด้านการการวิจัยและพัฒนาของไทย 0.48%
-2558 ค่าใช้จ่ายด้านการการวิจัยและพัฒนาของไทย 0.62%
-2561 ค่าใช้จ่ายด้านการการวิจัยและพัฒนาของไทย 1% (ตั้งเป้า)
2. สัดส่วนผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรม
วันที่ :
25
มีนาคม 2559
ข้อมูลจาก :
สำนักงานคณะกรรมนโยบายวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ
-ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
10,221 ราย (10%) ไม่มี 93,986 ราย (90%)
-ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมด้านกระบวนการทั้งหมด
4,734 ราย (5%) ไม่มี 99,473 ราย (95%)
3.รัฐบาลกับมาตรการส่งเสริมเอกชนด้านนวัตกรรม
วันที่
: ปี 2559
ข้อมูลจาก
: กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(วท.)
-ยกเว้นภาษีส่วนที่จ่ายไปเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
300% กำหนดระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์เป็นเวลา
5 ปี
-มาตรการดังกล่าวมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2558
- 31 ธันวาคม
2562
-กองทุนสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม
(TED Fund) 2,500 ล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย”
ความหมายก็ตามชื่อเลย
มันเป็นตัวชี้วัดว่าประชาชนหรือรัฐบาลในประเทศนั้นๆ มีค่าใช้จ่ายในการทำการวิจัยประมาณเท่าไหร่และยังสะท้อนถึงความสนใจด้านการพัฒนานวัตกรรมของประเทศได้เป็นอย่างดี
ซึ่งหากมองกันที่ค่าใช้จ่ายการวิจัยของไทย ต้องบอกเลยว่ายังอยู่ในอาการโคม่า เพราะค่าใช้จ่ายเพื่อทุ่มทุนทางการวิจัยของไทยยังไม่เคยแตะ
1% เป็นทศวรรษ ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ดูท่าฝันการเป็นประเทศไทย
4.0 ของรัฐบาลคงเป็นหมันแล้วกระมัง
แต่รัฐบาลก็ยังไม่เคยหมดหวัง เพราะจากการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์
(สวทน.) ประจำปี 2558 ประเทศไทยเราใช้งบประมาณด้านวิจัยไป 0.62% ต่อ GDP
เพิ่มมามากเมื่อเทียบจากปี 2548 ที่เรามีแค่ 0.09%
อีกทั้งแนวคิดของนักวิจัยก็เปลี่ยนไป จากนักวิจัยที่เน้นปักหลักทำงานกับรัฐ
นักวิจัยก็เริ่มมีการขยับขยายมาทำงานฝั่งเอกชนมากขึ้น ด้วยแนวโน้มตัวเลขที่ดูใกล้ฝั่งฝันมากขึ้น
เลยได้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2559 ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยจะต้องเหยียบถึง 1%
อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ สวทน.จะยังไม่เคาะค่าใช้จ่ายด้านวิจัยในปี 59 ออกมา
แต่ปัจจุบันในปี 2560 ได้มีการพยากรณ์ค่าใช้จ่ายด้านงานวิจัยปี 2561แล้วว่าต้องถึง
1% ของ GDP อีกครั้ง ซึ่งผิดปกติ เพราะไม่ว่าจะรัฐบาลหรือเอกชนก็ตามแต่ การตั้งเป้าหมายในปีต่อไปจะต้องยกระดับไปอีกขั้นหนึ่ง
การที่นำเป้าหมายที่จะทำให้ได้ในปี 59 มาพูดเป็นเป้าหมายในปี 61 ก็สันนิษฐานได้ว่าในปี
2559 ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยน่าจะยังไม่ถึง 1% อยู่ดี (เป็นการสันนิษฐาน
วันที่ 13 ตุลาคม 2560) ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าประเทศไทยยังมีการตื่นตัวด้านงานวิจัยน้อยเกินไป
บางคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า แล้วของต่างประเทศเรื่องที่ค่าใช้จ่ายในการวิจัยมากกว่า
มันมากกว่าเราเท่าไหร่ หากบอกว่า “ฟ้ากับเหว”
ก็ไม่น่าเกินไปนัก เพราะต่อให้ย้อนไปปี 2554 ค่าใช้จ่ายในด้านวิจัยของประเทศเล็กๆ
แต่ทรงอนุภาพด้านเศรษฐกิจอย่างญี่ปุ่น ก็อยู่ที่ 3.25% ซึ่งมากกว่าประเทศไทยในปัจจุบันอย่างมหาศาล
ส่งผลให้ญี่ปุ่นมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าและเป็นตัวแทนในหลายสาขาอาชีพในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนั้นผลงานวิจัยยังถูกไปอ้างอิงเพื่อพัฒนาต่อยอดในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น
พร้อมนำไปใช้จริงในเชิงเศรษฐกิจและสังคม มิใช่วิจัยมาขึ้นหิ้ง
จากปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่เช่นนี้ใครล่ะที่ต้องรับผิดชอบ จำเลยรายแรกที่มักโดนสังคมจับตาและโดนติติงอยู่เสมอคือรัฐบาล (ทุกยุค) ในการดำเนินนโยบายด้านการสนับสนุนและส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมที่ขาดความชัดเจน
ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในฟากเอกชนไม่เติบโต
เนื่องจากรายได้ธุรกิจในภาพรวมก็อยู่ในภาวะฝืดเคือง ส่งผลให้แรงกระตุ้นในการเอาทุนไปทำการวิจัยพัฒนานั้นมีน้อยลง
เพราะบางคนต้องเอางบส่วนวิจัยมาเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อดิ้นรนในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีเสียก่อน
อีกทั้งการแข่งขันระหว่างนายทุนกับ SMEs ก็ดูเหมือนจะห่างชั้นและไม่มีทางที่ผู้ประกอบการรายเล็กๆ
จะได้คว้าช้อนเงินช้อนทองกับเขาได้เลย Thaipublica สำนักข่าวออนไลน์
ให้ความเห็นด้านวิจัยและการแข่งขันทางธุรกิจว่า ปัญหาของวิจัยไม่โตมาจากการบริหารการแข่งขันทางธุรกิจของรัฐบาลที่ยังไม่ดีพอ
ส่งผลให้การแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศค่อนข้างต่ำ ประกอบกับกฎหมายยังไม่ค่อยเอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม
นายทุนเป็นผู้ผูกขาด ส่งผลให้การพัฒนางานวิจัยในภาพรวมน้อยลงไปด้วย
นั่นคือการวิพากษ์ปัญหาการวิจัยในประเทศไทยแบบกว้างๆ
แต่หากพูดกันตามตรง ปัญหาของ ”วิจัยไม่โตนวัตกรรมไม่เกิด” ในประเทศไทยนั้น
รัฐบาลก็ไม่ใช่จำเลยเพียงคนเดียวที่ต้องรับผิดในเรื่องนี้ เพราะแม้เป้าหมายหรือความชัดเจนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐจะมีส่วนสำคัญและดำเนินการไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่นัก
แต่ก็ยังมีการส่งเสริมการยกเว้นภาษีส่วนที่จ่ายไปเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูงถึง
300% พร้อมกำหนดระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์เป็นเวลา 5 ปี รวมไปถึง กองทุน TED Fund เพื่อเป็นทุนในการให้ผู้ประกอบการนำไปพัฒนาเทคโนโลยีรวมไปถึงการวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรม
แต่ทำไมงานวิจัยยังไม่โตอีก
อาจจริงอย่างที่ Thaipublica กล่าวมาข้างต้น
แต่ส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ทัศนคติของประชาชนที่มองการวิจัยเป็น “ส่วนเสริม”ไม่ใช่ “ส่วนสำคัญ” มีอยู่ไม่น้อย
และไม่ได้สนใจเรื่องของการวิจัยเท่าไหร่นัก เห็นได้จากการเข้าชม YouTube
เว็บที่รวบรวมคลิปวีดีโอไว้มากมาย แต่คลิปที่บอกถึงของความเคลื่อนไหวและสะท้อนการเติบโตด้านนวัตกรรมอย่าง
“อัตราการเติบโตในการลงทุนด้านวิจัย (R&D)
ของประเทศ” ที่
สวทน.โพสต์ไว้ใน Youtube
มีจำนวนเข้าชมคลิปทั้งหมดเพียง
157 ครั้งเท่านั้น ถึงเวลาหรือยังที่ที่ ผู้ประกอบการทั้งหลายจะหันมามองตนเองเสียที
หลังจากได้โทษรัฐเสร็จแล้ว
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้โทษว่านวัตกรรมในประเทศไม่ดีมาจากประชาชนหรือรัฐบาล แต่อยากให้ทุกคนได้ตระหนักและคำนึงถึงงานวิจัยและการพัฒนาตนเองด้านเทคโนโลยีให้มากขึ้น การบริหารเศรษฐกิจไม่ดีของรัฐ
อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การขยับขยายงานวิจัยเป็นไปอย่างลำบาก
แต่หากเศรษฐกิจไม่ดีและเรายังนิ่งเฉยสุดท้ายธุรกิจที่แย่ก็จะตายลงในที่สุด ลองพยายามค้นหาผู้ประกอบการที่สามารถคว้านวัตกรรมมาได้
ใช้เขาเป็นต้นแบบเรียนรู้แนวคิดการพัฒนาธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะขาดแรงกระตุ้นในการแข่งขันทางธุรกิจหรือไม่ก็ตาม
แต่กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก็พัฒนาและผลักดันตนเองจนคว้านวัตกรรมมาไว้ในมือได้
โดยบางครั้งบริษัทเหล่านั้นก็เป็นเพียง SMEs เท่านั้น
คลิป อัตราการเติบโตในการลงทุนด้านวิจัย (R&D) ของประเทศที่คนดูน้อยจนน่าใจหาย : https://www.youtube.com/watch?v=QDpZFxQntBw
หากใครจะบอกว่าความสำเร็จของพวกเขามาจากเครือข่ายเยอะหรือสายป่านยาว
ก็อาจใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ตัวชี้ขาดที่ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก้าวไปสู่จุดนั้นได้ มันคือวิสัยทัศน์และกระบวนการคิดในการพัฒนาธุรกิจอย่างมีคุณภาพต่างหาก ซึ่งหากมีการปลูกฝังแนวคิดเชิงพัฒนาให้กับประชาชน
เพื่อหันมาให้ความสนใจกับงานวิจัยมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลเองก็ปรับกฎระเบียบการแข่งขันให้ยุติธรรม
ให้ทุกระดับแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียม
พร้อมกับส่งเสริมต้นทุนการวิจัยเชิงคุณภาพให้มากขึ้น (อย่าลืม เศรษฐกิจต้องดีขึ้นด้วย)
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ก็จะเปิดมุมมองการพัฒนาธุรกิจในเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการได้มากขึ้น
และการทำให้ไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยที่มากกว่า 1% ก็เป็นจริงได้ไม่ยากเลย
คอลัมน์ ลับเฉพาะ : ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยไทย 0% เป็นชาติ เพราะเหตุใด
Reviewed by tonygooog
on
02:08:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: