เรื่อง : สกลวรรธน์ ธัญคุณากูลรัชต์
ผ่านไปไวเหมือนโกหก กับความสุขอุราในช่วงปีใหม่ที่ล่วงเลยมาแล้วถึง
4 เดือน นอกจากความสุขหรรษากับช่วงวันหยุดอันแสนยาวนาน
เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ยังได้มีเฮรอบสอง กับนโยบายลดภาษีหรือที่เรียกกันติดหูว่า
“ลดหย่อนภาษี” ใน ปี 58 กันอย่างแน่นอน ทว่า
เมื่อไปดูข้อมูลสถิติของสรรพากรกลับพบว่า เกินกว่าครึ่งยังไม่ดำเนินขอยื่นลดหย่อนภาษี
อีกทั้งยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจในรายระเอียดการยื่นเอกสารต่างๆ ทำให้หลายคนชวดโอกาสในการได้ภาษีคืนอย่างน่าเสียดาย
วันนี้ Trunk จึงขอเสนอแนะ 3 ข้อควรรำลึกเสมอก่อนยื่นลดหย่อนภาษี และหวัังว่าบทความนี้จะช่วยทุกคนให้ได้คืนภาษีเร็วๆ และได้จำนวนเงินที่ทุกคนพึงพอใจ
1. ถ้าไม่มีค่าครองชีพ เตรียมทำ RMF
โดยปกติแล้วองค์กรต่างๆ จะมีการช่วยเหลือคุณด้วยการทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
(Provident Fund)
ขึ้นมา โดยเป็นการนำเงินสะสมของลูกจ้างมารวมกับเงินสมทบของนายจ้าง
ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2% แต่ไม่มากกว่า 15% จากจำนวนค่าจ้าง ถือเป็นการออมเงินและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกจ้างหลังออกจากงาน
แถมยังนำส่วนนี้ไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 10,000 บาทอีกด้วย ถึงกระนั้น สวัสดิการส่วนนี้กลับไม่ได้พบเจอบ่อยนักโดยเฉพาะองค์กรระดับเล็ก
เพราะเป็นนโยบายที่ไม่ได้บังคับด้วยกฏหมาย บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการนี้
ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีของคุณหายไปด้วย
วิธีแก้คือควรเดินเรื่องกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual
Fund)
โดยกองทุนนี้จะต้องมีการซื้อไม่เกิน 15% อีกทั้งยังสามารถยืดหยุ่นในการลงทุนได้ดีอีกด้วย
ไม่พอ กองทุนนี้ยังมีความพิเศษกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท
ตรงที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 ทาง กล่าวคือ
สามารถนำเงินจากกองทุน RMF ไปยื่นลดหย่อนภาษีเหมือนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ และเมื่อมีผลกำไรจากการลงทุนสินทรัพย์
(Capital
Gain) ก็จะได้การยกเว้นภาษีอีกด้วย
ถือเป็นการลงทุนครั้งเดียวได้กำไรถึง 2 ต่อเลยทีเดียว
2. ติดตามเอกสาร ณ ที่จ่าย 50 ทวิ
(หน้าตาของเอกสาร 50ทวิฯ)
มีชื่อเต็มว่า “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ
ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิแหงประมวลราษฎากร” โดยเอกสารนี้เป็นเหมือนใบแจ้งรายรับและการเสียภาษีของคุณ
กล่าวคือ เป็นการแจกแจงรายระเอียดด้านรายได้ จำนวนภาษีที่หักไป รวมถึงจำนวนวงเงินที่หักให้กับกองทุนหรือประกันต่างๆ
ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ทางบริษัทส่วนใหญ่จะต้องมีตามข้อบังคับทางกฏหมาย ถึงกระนั้น
การบริหารจัดการเอกสารนี้ก็ขึ้นอยู่แต่ละบริษัท เพราะบางบริษัทก็อาจให้ทางพนักงานเป็นผู้เดินเรื่องยื่นภาษีกับทางสรรพากรเอง
ขณะที่บางบริษัทอาจทำธุรกรรมให้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งหากไม่มีการติดตามจากพนักงาน ก็อาจไม่ได้เอกสารในส่วนนี้
เกิดเป็นปัญหาด้านความล่าช้าในการคืนภาษี ดังนั้นพนักงานจึงควรร้องขอเอกสารนี้จากบริษัทอยู่เสมอ
เพราะนอกจากเป็นใบเสร็จแสดงรายรับ-จ่าย ตลอดปีของคุณแล้ว
ยังเป็นเอกสารสำคัญในการประกอบยื่นภาษีหรือขอลดหย่อนภาษีของคุณอีกด้วย
3. บุญช่วยลดภาษีได้
(ลักษณะใบอนุโมทนาบัตร)
หากคุณเป็นคนทำบุญทำทานล่ะก็ จงยิ้มรอได้เลย
เพราะการกุศลเหล่านี้ จะย้อนกลับมาช่วยคุณในรูปแบบของลดหย่อนภาษี
โดยสามารถหักได้เท่าจำนวนที่บริจาคจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินที่ได้ ถึงกระนั้น ก็มีเงื่อนไขที่พึงระวังอยู่
2 ข้อ ได้แก่
3.1. การบริจาคจะต้องอยู่ในรูปแบบของเงินเท่านั้น หากบริจาคเป็นทรัพย์สินจะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
3.2. องค์กรที่ช่วยเหลือจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของรัฐมนตรีกำหนดไว้ตามสถานสาธารณกุศลตามราชกิจจานุเบกษา
หากต้องการบริจาคมูลนิธิหรือช่วยเหลือวัดต่างๆ พร้อมกับรักษาสิทธิในการลดหย่อนภาษี
ควรคำนึงถึง 2 ข้อนี้เป็นสำคัญ เพราะมีหลายคนประสบปัญหาไม่สามารถขอคืนภาษีได้
เนื่องจากมูลนิธิที่บริจาคไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของสถานสาธารณกุศลหรือการบริจาคนั้นเป็นรูปแบบสิ่งของมิใช่เงิน
ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสถานที่ให้ดีเสียก่อน รวมถึงสำรวจตัวเลขในใบอนุโมทนาบัตรให้ชัดเจน เนื่องจากมีมิจฉาชีพได้อุปโลกน์จำนวนเงินใบอนุโมทนาบัตรขึ้นมา
เพื่อยื่นขอคืนภาษีในวงเงินที่สูงกว่าความเป็นจริง หากมีความผิดพลาดเรื่องของจำนวนเงิน
อาจถูกตรวจเข้มจากสรรพากรตลอด 3 ปี
สามารถตรวจสอบสถานที่ที่ทางรัฐมนตรีดูแลอยู่ (http://www.rd.go.th/publish/2644.0.html)
อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.rd.go.th/publish/2644.0.html
http://th.jobsdb.com
http://www.prosofthrmi.com/ArticleInfo.aspx?ArticleTypeID=2085&ArticleID=7355
http://www.propertytoday.in.th/
คอลัมน์ Golden Ranks : 3 ข้อที่ควรรำลึกเสมอก่อนยื่นลดหย่อนภาษี
Reviewed by tonygooog
on
09:32:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: