ย่างเข้าสู่เดือนมกราคมกันอีกแล้วนะครับกับปีใหม่ที่มาพร้อมตัวเลขมงคลอย่าง 2559 ขอให้มีความสุขกันทุกคน ส่วนใครที่ยังคงไม่สมหวังเพราะยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ก็ขอให้ปีนี้เป็นปีที่เรืองรองมีความก้าวหน้ากว่าปีก่อนๆ และด้วยโอกาสนี้ผมก็ขออวยพรเพิ่มอีก 3 สิ่งที่อาจเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างฝันให้เป็นจริงผ่านภาพยนต์ 3 รส 3 สไตล์ที่สร้างแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยม ซึ่งหวังว่าคำอวยพรนี้จะช่วยจุดประกายแนวคิดในการสานฝันและทำให้ค้นพบเส้นทางที่ปรารถนาในปีลิงนี้ครับ
1 1. The Walk
หนังหวาดเสียวสุดระห่ำเรื่องนี้ถูกสร้างจากเรื่องจริง
ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1974 กับหนุ่มฝรั่งเศษนามว่า Philippe Petit นักกายกรรมที่มีความฝันอยากจะเป็นนักไต่ลวดผู้ยิ่งใหญ่
เขาพร่ำฝึกซ้อมอยู่หลายปีเพื่อจะเป็นนักไต่ลวดมืออาชีพจนสุดท้ายความพยายามก็ทำให้เขาเป็นผู้ช่ำชองในการไต่ลวด
แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความฝัน เพราะเป้าหมายที่เขาต้องการคือการเป็นตำนานแห่งนักไต่ลวดที่ใครๆ
ก็โจษจันถึง และเขารู้ดีว่าตำนานนี้เขาจะต้องสรรสร้างขึ้นมาเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รวบรวมทีมงานสำหรับเตรียมการไต่ลวดครั้งยิ่งใหญ่
ณ หอคอยคู่ระฟ้า World Trade Center การดำเนินงานเป็นไปอย่างทุลักทุเลและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปเดินบนตึกที่สูงที่สุดในโลก
ขณะที่ใจของเขายังอดหวาดหวั่นในความเสี่ยงนี้ไม่ได้ ทว่า ด้วยมุ่งมั่นที่จะคว้าฝัน
เขาจึงได้เดินบนลวดโดยไร้สลิงบนความสูง 530 เมตรได้สำเร็จ
แม้สุดท้ายสิ่งที่เขาทำจะไม่ได้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างคนดังระดับโลก
แต่อย่างน้อย โรเบิร์ต เซเมคิส นักกำกับมือฉมังก็ยังคงเห็นคุณค่าในตำนานของเขาและนำมาฉายวิดีโอฟิล์มเพื่อบอกกล่าวความยิ่งใหญ่ต่อไป
แก่นแท้ของความฝัน
หากเปรียบชีวิตเสมือนนวนิยายเล่มหนึ่ง
ความฝันก็คงเทียบได้กับ “ธีม”
หรือแก่นของเรื่องซึ่งเป็นเป้าหมายที่เจ้าของเรื่องพยายามจะเล่าถึง แม้ช่วงชีวิตผู้เขียนจะผ่านชีวิตมาไม่มากนัก
แต่ก็พอพูดได้ว่าเคยได้ยินจินตภาพหรือความฝันของคนมามากพอสมควร
ฝันหลายคนช่างยิ่งใหญ่และมีแก่นเรื่องที่ทรงพลังน่าติดตาม
แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ในภาคปฎิบัติกลับได้เห็นเพียงแต่ “ความอยาก” ไม่รู้จบสิ้นไร้จิตวิญญาน
ด้วยความเคารพผู้เขียนไม่ได้ท้วงติงว่าความอยากเป็นสิ่งเลวร้าย กลับกันความอยากนั้นสำคัญเทียบเท่ากับเส้นเลือดของความฝันด้วยซ้ำไป
หากเราไม่มี “อยาก”
ในสิ่งๆ นั้น เราจะเรียกสิ่งนั้นว่า “ความฝัน”ได้อย่างไร ถึงกระนั้น เราก็ไม่ควรขับเคลื่อนความฝันด้วยความอยากเพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะความอยากที่เต็มไปด้วยมลทินอย่างกิเลสตัณหา อาทิ อยากรวย อยากเป็นคนดัง
อยากอยู่บ้านหรูๆ ฯลฯ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มักจะคอยบิดเบือนให้เราหลงทิศ
เช่น มองความทะยานอยากให้ดูเหมือนเป็นความมุ่งมั่น
เปลี่ยนความโลภให้เป็นตัวแทนของความตั้งใจ และเมื่อคุณมีโอกาสได้สุขสมตามความ “อยาก” ของคุณแล้วก็เท่ากับว่าความฝันของคุณอาจสิ้นสุดลงตรงนี้ แต่ด้วยความฝันที่เต็มไปด้วยอยากที่มีจนมากล้นก็จะคงดันทุรังให้คุณทำให้อะไรที่คุณไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกเพื่อสนองความอยาก
จนสุดท้ายคุณก็ลืมแม้กระทั้งฝันที่เป็นต้นเรื่องของคุณเอง และฝันของคุณก็จะกลายเป็นนิยายที่มีธีมเรื่องราวความรักดราม่าแต่ดันมีแต่บู๊ฆ่าล้างผลาญตลอดทั้งเรื่องเสียแทน
บางคนอาจสงสัยว่า ถ้าไม่ต้องการให้ความฝันถูกครอบงำด้วยความอยากจะต้องทำอย่างไร
หัวใจสำคัญอยู่ที่การลำดับความสำคัญ อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าความอยากไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
แต่คุณไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากเกินไปจนกลายมาเป็นแก่นสารของชีวิตคุณ แต่คุณควรเปลี่ยนบทบาทมันให้เป็นเพียง
“พล็อต” เรื่องๆ หนึ่งในนิยายความฝันของคุณก็เพียงพอแล้ว Philippe Petit ชายผู้หวังจะเป็นนักไต่ลวดผู้โด่งดัง หลายคนอาจคิดค้านในใจว่า
ตัวเขาเองก็สร้างฝันด้วยความอยากที่มีมลทินอย่างเช่น “อยากดัง”
เหมือนกันนั้นแหล่ะ แม้ในหนังจะไม่มีการกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน
แต่ผู้เขียนก็มองเห็นในทิศทางเดียวกันอย่างที่บางท่านคิดเช่นเดียวกัน ทว่า
เขาก็ไม่ได้มองความ “อยากดัง” คือเป้าหมายของชีวิตหรอกครับ แต่นักไต่ลวดผู้นี้ใช้ความอยากเป็นพล็อตเรื่องในการเล่าเรื่องราวความฝันของเขาต่างหาก
ความฝันของเขาคือการเป็นนักไต่ลวดผู้ยิ่งใหญ่และได้ทำสิ่งที่นักไต่ลวดหน้าใหนก็ยากที่จะเทียบเทียมได้
แม้จุดเริ่มต้นอาจเริ่มจากความอยาก แต่เป้าหมายของชายผู้นี้กลับมีเรื่องราวที่ซับซ่อนกว่านั้น
เพราะนอกจากความอยาก เขายังได้แต่งเติมเรื่องราวความฝันด้วยจินตนาการและจิตวิญญาน
เห็นได้จากที่เขาหันไปหมกมุ่นอย่างบ้าคลั่งกับการเตรียมแผนไต่ลวดบนตึกที่สูงที่สุดในโลกโดยไม่มีเครื่องช่วยชีวิต
พร้อมด้วยลีลาเดินไต่ลวดระดับชั้นเซียน เพื่อให้ผลงานออกมาสมบรูณ์และกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำของใครหลายๆ
คน แม้สุดท้าย ผลตอบแทนของเขาจะไร้ซึ่งชื่อเสียงเงินทองแถมยังถูกตำรวจจับอีกต่างหาก
แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้เดินตามรอยความฝัน
โดยไม่ให้ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยอย่าง “ความอยาก” มาเปลี่ยนแก่นสารความฝันของเขาได้
1. 2. The Secret Life Of Walter Mitty
เรื่องราวของ
วอลเตอร์ มิตตี้ ชายวัยกลางคนผู้มีชีวิตแบบสามัญชนคนธรรมดา ผู้เฝ้าหวังว่าจะมีการผจญภัยและประสบการณ์ชีวิตที่น่าตื่นตาตื่นใจแต่เขากลับทำได้เพียงโลดแล่นเรื่องราวอยู่ในจินตนาการของตัวเองเท่านั้น
ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเฝ้าฝันถึงการเดินทางที่สุดแสนอัศจรรย์อยู่เสมอ จนเมื่อจุดเปลี่ยนมาถึง
บริษัทนิตยสารที่เขาทำงานอยู่กำลังจะปิดตัวลง หลายร้อยชีวิตรวมทั้งเขากำลังจะกลายเป็นคนไร้งาน
ซ้ำร้ายรูปภาพที่ 25 ซึ่งเป็นภาพขึ้นปกนิตยสารเล่มสุดท้ายก็ได้หายไปอย่างไร้ล่องลอย
มีทางเดียวที่เขาจะแก้วิกฤตินี้ได้คือตามหา ฌอน เพย์น นักถ่ายรูปมืออาชีพที่หาตัวจับได้ยาก
เพื่อทวงถามถึงรูปที่ 25 ที่หายไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเหมือนสัณญานนับถอยหลังเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตบทใหม่ของมิตตี้
แต่เนื่องจาก ฌอน เป็นบุคคลลึกลับยากที่จะตามตัว ประกอบกับเขาเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่มีมือถือ
แม้กระทั่งกล้องยังเป็นแบบฟิลม์รุ่นเก่า ทำให้หนุ่มชีวิตแสนเชยอย่างมิตตี้ต้องผจญภัยเหนือจินตนาการเกินกว่าเขาจะคาดถึง
เขาได้ไปทุกที่ที่ ฌอน เดินทางไป ไม่ว่าจะทางทะเล เขตแถบภูเขาไฟหรือแม้กระทั่งเทือกเขาหิมะ
เพียงเพื่อตามหารูปภาพใบสำคัญที่จะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในตำแหน่งผู้ลำดับภาพของเขา
ทว่า การเดินทางครั้งนี้สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่มันคือเรื่องราวระหว่างทางที่ทำให้เขาได้พบสิ่งที่ค้นหามาทั้งชีวิตสิ่งนั้นคือ
“โลกทัศน์” จากการเดินทางนั่นเอง
เปิดประสบการณ์ใหม่
ผู้เขียนเชื่อว่า
ใครหลายคนคงมีรูปแบบชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างไปจาก มิตตี้ เท่าไหร่นัก กับการดำเนินชีวิตบนเรื่องราวเดิมๆ
ในเส้นทางสายเก่าที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำและขาดซึ่งแรงบันดาลใจ แม้ฟังๆ ไปแล้วอาจเป็นแค่เรื่องจำเจในชีวิตที่ไม่ได้ส่งผลเลวร้ายอะไรให้กับคุณมากไปกว่าความน่าเบื่อ
ทว่า สำหรับนักสร้างฝัน ชีวิตที่ขาดประสบการณ์ใหม่ๆ นับเป็นภัยร้ายที่อาจทำให้คุณไปไม่ถึงฝั่งฝัน
เพราะฝันที่ยอดเยี่ยมควรได้รับการบ่มเพาะจากประสบการณ์ที่หลากหลาย
ยิ่งโลกทัศน์กว้างไกลเท่าใดคุณก็ยิ่งมีสีที่จะแต่งเติมความฝันให้มีความสวยสดงดงามมากขึ้นตามไปด้วย
ถึงแม้ประสบการณ์นั้นอาจจะดูไม่ได้จำเป็นสำหรับฝันของคุณเลยก็ตามที
มาถึงจุดนี้ บางคนอาจเห็นว่าตนเองมีจุดอ่อนบางอย่างอยู่
นั่นคือ ไม่รู้ว่าที่ไหนจะช่วยเปิดกว้างโลกทัศน์ให้คุณได้หรือตัวคุณเองไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะเดินทางไปที่ต่างๆ
ขอบอกว่ามิสำคัญเลยที่จะต้องท่องไปแดนมหัศจรรย์อย่าง Mitty เพราะเพียงคุณเปิดใจที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ แม้แต่สถานที่เดิมๆ
เหตุการณ์เดิม ที่บอกเล่าเรื่องราวเก่าๆ การปรับมุมมอง ปรับความคิด หรือปรับทัศนคติ
ก็จะทำให้คุณได้พบเห็นสิ่งที่แตกต่างจากเดิมแล้ว พึงระวังเพียงอย่างเดียวคือระหว่างที่เปิดกว้างทางความคิดควรละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า
“เลือกที่รัก มักที่ชัง” ไป เพราะสิ่งนี้จะเป็นกำแพงปิดกั้นจากบางสิ่งที่คุณรู้สึกหรือคิดว่า
“ไม่ชอบ” ทำให้คุณอาจ “ตัดสิน” สิ่งนั้นไปโดยไม่มีโอกาสทำความเข้าใจกับมันให้รอบด้านเสียก่อน
“เพราะการพยายามเรียนรู้และเข้าใจทุกสิ่งในทุกมิติ
คือการเปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง”
1 3.Whiplash
เป็นเรื่องราวการสร้างฝันสุดเข้มข้นที่เกิดขึ้นจากคนสองคน
ระหว่าง แอนดรูว์ หนุ่มวัย 19 ปี ที่ฝันอยากเป็นมือกลองระดับโลก
กับอาจารย์สอนดนตรีจอมโหด เทอเรนซ์ เฟลชเชอร์ ผู้มุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะสร้างนักดนตรีระดับตำนานขึ้นมา
โดยไม่เลือกวิธีการ เมื่อสองความฝันโคจรมาพบกัน ตำนานบทใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น
เทอเรนซ์ พยายามที่จะปลุกปั้น แอนดรูว์ ให้ขึ้นเวทีนักดนตรีระดับโลกให้ได้ ยิ่ง
แอนดรูว์ ทุ่มเทมุ่งมั่นมากเท่าใด เทอเรนซ์
ก็ยิ่งเพิ่มบทเรียนสุดหฤโหดให้กับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะแรงกดดันทุกทิศทาง
คำด่าทอ การดูถูกเหยียดหยาม หรือแม้กระทั่งฉีกหน้า แอนดรูว์ ต่อหน้าฝูงชน เขาก็ทำมันโดยไม่ลังเล
แม้การกระทำจะกลายเป็นข้อครหา แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นในสิ่งที่ทำ เพียงเพื่อฉุดดึงความสามารถของเด็กวัย
19 ให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “ดี” ไปสู่สิ่งที่ “ดีที่สุด” และหนุ่มน้อยฝันไกลผู้นี้ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขามีคุณสมบัติพอที่จะคว้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นได้
รับแรงกดดันเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
\
แรงกดดัน สิ่งบีบคั้นที่ใครบางคนอาจเห็นเป็นเรื่อง
“อึดอัด” ขณะที่ใครบางคนเห็นเป็นยาขมที่สร้าง
“แรงผลักดัน”และพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ
ด้วยมุมมองที่อยู่คนละขั้ว ทำให้รสชาติที่แต่ละคนได้สัมผัสแตกต่างกันไปด้วย คงยากที่จะหาข้อยุติว่าฝั่งไหนถูกต้องกว่ากัน
เพราะสองสิ่งนี้แตกต่างกันเพียงเส้นกั้นบางๆ จึงขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่าจะตีความของสารนี้ออกมาอย่างไร
แต่ถ้าหากคุณพบเพียงความรู้สึก “อึดอัด” และกำลังพยายามปลีกหนีให้พ้นๆ จากมันอยู่ล่ะก็
ขอให้ฟังข้อเสนอแนะนี้ซักนิด
แอนดรูว์ ผู้มีความฝันอยากเป็นนักตีกลองมือฉมัง
ก่อนที่เขาจะค้นพบว่า “แรงกดดันนั้นนำมาซึ่งแรงผลักดันชั้นเยี่ยม” เขาก็เคยลำบากและถอดใจจากสิ่งที่เขารักมาก่อนเช่นกัน
แต่ด้วยความแน่วแน่และเชื่อมั่นบนเส้นทางนักดนตรี ทำให้เขาเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป
และได้พิสูจน์ให้ เทอเรนซ์ เห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ในพรแสวงของเขา
สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ความทุรนทุรายจากแรงกดดัน
แต่ความแน่วแน่มุ่งมั่นในความฝันของคุณต่างหากที่สำคัญ พยายามตรึกตรองให้รอบคอบว่าสิ่งที่ทำคือฝันของคุณหรือไม่
ถ้าคำตอบคือใช่ก็พยายามตั้งเป้าให้แน่วแน่
อย่าให้ลมปากจากคนอื่นมาสั่นคลอนความฝันของคุณ มุ่งมั่นพัฒนาตนเองคือกลไกสำคัญที่ทำให้จะช่วยลบล้างข้อครหาของคุณได้
จากใจผู้เขียน : ต้องบอกว่า ความตั้งใจแรกของผู้เขียนคาดว่าจะเขียนคอลัมน์นี้เสร็จสิ้นตั้งแต่กลางเดือน แต่ด้วยเรื่องราวค่อนข้างระเอียดอ่อนและไม่เป็นวิชาการมากนัก ทำให้ผู้เขียนต้องใช่เวลาเขียนนานพอสมควร หากใครอยากแนะนำหนังที่สืื่อเรื่องราวทั้ง 3 อย่างได้ชัดเจน ก็แนะนำกันได้นะครับ
อย่างไรก็ตาม ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชม หากท่านอยากติติงเนื้อหาก็ได้เลยนะครับ ผมจะนำไปปรับปรุงแก้ไขผลงานในอนาคตต่อไป ขอบคุณครับ
คอลัมน์ Golden Ranks : 3 ภาพยนต์ 3 แนวคิด 3 วิธีสานฝัน
Reviewed by tonygooog
on
19:38:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: