เรื่อง : สกลวรรธน์ ธัญคุณากูลรัชต์
Key DATA
ข้อมูลสถิติคดีจากศาลยุติธรรม
-สถิติคดีแพ่งและอาญาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและคดีเสร็จไปของศาลฎีกา
ประเภทเยาวชน ประจำปี พ.ศ. 2558
คดีแพ่งทั้งหมด
142 คดีค้าง 59 - 28.7%
คดีอาญาทั้งหมด
191 คดีค้าง 55 - 41.5%
-สถิติคดีแพ่งและอาญาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและคดีเสร็จไปของศาลฎีกา
ประเภทเยาวชน ประจำปี พ.ศ. 2557
คดีแพ่งทั้งหมด
253 คดีค้าง 96 - 37.9%
คดีอาญาทั้งหมด
261 คดีค้าง 80 - 30.6%
-เปรียบเทียบปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาลฎีกา
ของปี 2558 และช่วงเดือนมกราคม – เมษายน ของปี 2559
22,252 คดี ปี 2559 ช่วงเดือน (มกราคม –เมษายน
25,373 คดี ปี 2558
ข้อมูลการประหารชีวิตจากกรมราชทัณฑ์
-สถิตินักโทษประหารชีวิตช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.
2558
649
ราย จำแนกเป็นชาย 597 ราย และหญิง 52 ราย
(รวบรวมข้อมูลวันที่ 12 มีนาคม 2560)
(เนื่องจากในปี 2559 มีการรายงานผลถึงช่วง มกราคม - เมษายน
ทำให้ไม่ทราบตัวเลขของคดีที่แน่ชัด)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข่าวขึ้นโรงขึ้นศาล
นับวันจะมีให้เห็นกันเกือบทุกๆ นาทีที่เปิดโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ สิ่งที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น
อนาคตมีโอกาสที่แนวโน้มของคดีความต่างๆ จะทวีความรุนแรงและมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นปัญหาของสังคมที่เรื้องรังยากที่จะแก้ไข โดยทาง Bansorn ได้ทำการเปรียบเทียบปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาลฎีกา
ของปี 2559 ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน มีปริมาณคดีอยู่ที่ 22,252 คดี
ซึ่งน้อยกว่าปี 2558 ที่มีคดีทั้งหมด 25,373 คดี ทว่า ตัวเลขรายงานผลของปี 2559 แม่ตอนนี้ยังไม่มีการระบุปริมาณคดีในช่วงเวลาที่เหลือ
ถึงกระนั้น แค่ช่วงเวลายังไม่ถึงครึ่งปีของปี 2559
กลับมีคดีเกือบเทียบเท่ากับปริมาณคดีของปี 2558 ทั้งปี แม้ช่วงเวลาที่เหลืออีก 8
เดือน ยังไม่มีการรายงานผล แต่ก็คาดการณ์ได้ว่า คดีมีโอกาสที่ปริมาณคดีจะสูงกว่าปี
2558 ไม่มากก็น้อย
เมื่อ
Bansorn ตรวจสอบผลสำริจการดำเนินคดีประเภทต่างๆ
โดยเฉพาะกลุ่มคดีเยาวชนที่ถือเป็นกลุ่มที่ทางสังคมต้องการให้มีการลงโทษที่เด็ดขาดและหนักหน่วงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องพบว่า
ปริมาณของคดีจากกลุ่มเยาวชนหากเทียบกับสัดส่วนโดยรวม อาจมีไม่มากนัก แต่เมื่อมองไปด้านการไขคดีของผู้รักษากฎหมาย
กลับมีคดีที่ยังคั่งค้างเกือบ 30-%
หรือ 1 ใน 3 ของคดีทั้งหมด ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นที่ยังสูงอยู่มาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากบทกระบวนการสืบสวนที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
ขณะที่คดีเยาวชนบางคดีก็มีสถานะเกี่ยวพันกับตำรวจ อาทิ เป็นลูกหรือเป็นคนรู้จักตำรวจ
ส่งผลให้การคลี่คลายคดีเยาวชนอาจเกิดอาการลักลั่นไม่เป็นธรรมขึ้นได้
ขณะที่ยังมีหน่วยงานและกฎหมายสนับสนุนเยาวชนกลุ่มนี้และตัดสินคดีโดยใช้เมตตาธรรมในการตัดสิน
โอกาสที่ประชาชนโดยเฉพาะผู้เสียหายที่จะได้เห็นความเป็นธรรมในการตัดสินคดีก็เริ่มริบหรี่ลงอย่างไม่มีหวัง
ส่งผลให้สังคมภาพรวมต้องเผชิญกับภัยสังคมที่เรียกตนเองว่า “เยาวชน”
และต้องดูแลตัวเองมากกว่าจะหวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพราะหลายครั้งคดีดำเนินการล่าช้าจนเกินไป หรือบางครั้งคดีไม่มีการสืบสวนหาคนผิดแต่อย่างใด
จนบางครั้งสังคมหลงคิดไปว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยกำลังสนับสนุนกลุ่มเยาวชนที่กระทำผิดอยู่หรือไม่
ซึ่งปรากฏการณ์ภัยสังคมที่เกิดจากเยาวชน ณ ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่และนับวันเยาวชนที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้สภาพสังคมไทยในภาพรวมมีแนวโน้มไปในทิศทางไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะเวลายามวิกาล จนสังคมเกิดความเอือมระอา
กับพฤติกรรมเยาวชนที่ก่อคดีร้ายแรงอย่างไม่กลัวกฎหมายทั้งข่มขืนหรือฆ่าผู้บริสุทธิ์
ที่ออกข่าวอยู่ทักวัน ทำให้เสียงเรียกร้องของประชาชนในการเพิ่มโทษเยาวชนด้วยการประหารชีวิตจึงเริ่มได้ยินกันให้หนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่า ในแง่ของความเป็นจริง ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการประหารชีวิตเยาวชนได้
เนื่องจากในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 ประเทศไทยได้ลงนามเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
โดยสัญญาดังกล่าวมีเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของเด็กที่อายุไม่เกิน 18 ปี ใน 4
ด้าน ได้แก่
1 สิทธิในการอยู่รอด
2 สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
3 สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และ
4 สิทธิในการมีส่วนร่วม
นั้นเป็นพันธกรณีที่ทางประเทศไทยต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
และหากมีการละเมิดอนุสัญญาดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศเนื่องจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมีประเทศร่วมลงนามกว่า196
ประเทศ ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคี
นั้นหมายความว่าในสายตากว่า 196 ประเทศ จะดูแคลนประเทศไทยที่ไม่ยอมรักษาสัญญาตามที่บัญญัติเอาไว้
และอาจสร้างผลกระทบในวงกว้างตามมา ทั้งในแง่ความสัมพันธ์หรือการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งนั้นย่อมไม่ใช่ผลดีกับเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะยึดหลักเมตตาธรรมดำรงสิทธิมนุษยชนร่วมลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ถึงกระนั้น กฎหมายประเทศไทยก็ยังคงหลักกฎหมายกำหนดประหารชีวิตเอาไว้อยู่ โดยข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์
มกราคม ปี 2558 พบว่ายังมีการประหารชีวิตผู้ต้องคดีทั้งหมด 649 ราย โดยจำแนกเป็นคดีทั่วไปเป็น
278 ราย ขณะที่เป็นคดียาเสพติด 371 ราย โดยกลุ่มผู้ถูกประหารส่วนใหญ่จะพ้นจากสถานะเยาวชนแล้วแทบทั้งสิ้น
ขณะที่ยังไม่มีการรายงานลงโทษโดยประหารชีวิตสำหรับเยาวชนแต่อย่างใด
(สีแดงคือประเทศที่ยังมีใช้กฎหมายประหารชีวิตอยู่)
การไม่ตัดสินคดีรุนแรงแก่เยาวชนได้ มีผลพวงมาจากการรักษาภาพพจน์ของประเทศในสายตาชาวโลก
โดยการลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
โดยประสงค์ของการลงนามเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและสัมพันธมิตรระหว่างประเทศ
ดังนั้นการแก้ปัญหาเยาวชนด้วยการประหารชีวิตอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้
เพราะคาดว่าสนธิสัญญาดังกล่าวคงจะอยู่กับประเทศไทยไปอีกหลายปี
(บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี)
จากบริบทโดยรวมของประเทศ แนวทางในการลงโทษเยาวชนกลุ่มนี้อย่างได้ผลและเป็นไปได้มากที่สุด คือการดำเนินลงโทษเข้มข้น โดยไม่มีการลดโทษแต่อย่างใด บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นักแสดงชื่อดังได้เคยให้สัมภาษณ์กับ ข่าวสด ถึงกรณีประหารชีวิตเยาวชนว่า เธอเองไม่เคยสนับสนุนให้ประหารชีวิตเยาวชน แต่สิ่งที่เธอเรียกร้องคือการลงโทษคนกลุ่มนี้อย่างจริงจังและไม่มีการลดโทษแต่อย่างใด เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายและแสดงให้เห็นว่า แม้เป็นเยาวชนก็สามารถรับโทษรุนแรงได้เช่นกันซึ่งสถาบันครอบครัวก็ต้องให้ความร่วมมือและดูแลลูกอย่างจริงจังไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากทำได้อย่างที่นักบุ๋มเสนอแนะ การจัดการเยาวชนกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเยาวชนจะอยู่ในการควบคุมของสถาบันครอบครัว ขณะเดียวกันครอบครัวก็ต้องรับผิดชอบหากลูกมีพฤติกรรมแบบเดิม และด้วยกฎหมายที่เข้มงวดจะเป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ก่อนก่อคดีได้เป็นอย่างดี
คอลัมน์ ลับเฉพาะ : ประหารเยาวชน!!!
Reviewed by tonygooog
on
10:19:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: