เรื่อง : สกลวรรธน์ ธัญคุณากูลรัชต์
หลังจากความล้มเหลวในการต่อสู้บนโลกอิเล็กทรอนิค ทำให้บริษัทระดับตำนานที่มีอายุอานาม 100 กว่าปีอย่าง Nokia ต้องส่งขายกิจการบางส่วนให้กับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ระดับโลกหรือที่เรารู้จักกันดีภายใต้ชื่อ Microsoft ในราคา 240,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติฟินแลนซ์ยังคงหายใจต่อไปได้ ขณะที่Microsoft ก็ไม่ปล่อยให้ของเล่นที่ซื้อมาหลายล้านบาทต้องเสียเปล่า โดยวันที่ 25 เมษายน 2557 บริษัท Microsoft ได้ก่อตั้งบริษัทโทรคมนาคมในชื่อ Microsoft Mobile ขึ้นมา นั้นทำให้ Microsoft เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท Nokia และยังเป็นผู้ถือเอกสิทธ์ในการผลิตและพัฒนาสินค้า แถมยังมัดมือ Nokia ให้เซ็นสนธิสัญญาสำคัญในการโทรศัพท์ทุกเครื่องที่ผลิตต่อจากนี้ คือระบบปฎิบัติการ Window Phone ซึ่งเป็นการตอกย้ำการล่มสลายของ Nokia อย่างถาวร
จุดเริ่มต้นความล้มเหลวของ Nokia มีต้นตอมาจากดึงอดีตผู้บริหาร Microsoft อย่าง Stephen Elop เข้ามาเป็นผู้คุมบังเหียนธุรกิจโทรศัพท์ นับแต่นั้นโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ Nokia ก็เริ่มสับสนอลม่านตั้งแต่นั้น ด้วยการพับโครงการต่างๆ ของ Nokia อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้วยถ่ายโอนกรรมสิทธิ์รวมถึงอำนาจการบริหารให้กับ
Microsoft ทำให้ Elop สามารถเล่นกับตัวผลิตภัณฑ์ได้ทุกอย่าง แต่ผลของมันคือการตอกตะปูปิดฝาโรง Nokia มากกว่าเดิม เพราะด้วยวิสัยทัศน์ของ Elop
ที่มองไม่เห็นเทรนด์ของเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิคอย่าง Smartphone ที่กำลังจะมาถือครองตลาดแทนฟีเจอร์โฟน
ต่อมาคือระบบปฎิบัติการ Symbian ซึ่งพัฒนาโดย Symbian Ltd.โดย ณ เวลานั้นระบบปฎิบัติการรุ่นเดอะ ได้รับความนิยมและมีศักยภาพสูงมาก แม้จะมีความซับซ้อนและใช้งานที่ลำบาก แต่เนื่องจากมีความอิสระในการใช้งานสูงตอบโจทย์ผู้บริโภคในวงกว้าง ทำให้โทรศัพท์ Nokia มีความโดดเด่นกว่าเจ้าใดๆ ในตอนนั้น ยิ่งมีการพัฒนาระบบ S60 2nd Edition ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของระบบปฎิบัติที่มีความสดใสและเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของระบบได้เป็นอย่างดี ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน S60 3rd Edition ซึ่งมาพร้อมระบบป้องกันภัย Symbian Signed สิ่งนี้ได้กลายเป็นทุ่นที่ทำให้ Nokia ค่อยๆ จมลงอย่างไม่คาดคิด
เพราะระบบรักษาความปลอดภัยดังกล่าว มีเงื่อนไขสำหรับผู้พัฒนามากมายผ่านการ Sign ก่อนจะให้ผู้บริโภคสามารถลงได้ อีกทั้งเมื่อมีการเข้าสู่ระบบเชิงลึกก็มีกระบวนการขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น อาทิ การซื้อ ใบรับรอง จาก Provider เสียก่อน แถมต้องมีการส่งหลักฐานมากมายภายใต้ราคาที่สูงลิบลิ่ว ขณะที่ตัวโปรแกรม Symbian ปกติก็มีระบบการใช้งานที่ซับซ้อนมากอยู่แล้ว ทำให้มันเป็นสิ่งที่หน้าขยาดสำหรับผู้บริโภคมากเข้าไปอีก ส่งผลแบรนด์ทั้งหลายหยุดการป้อนแอพฯ ให้กับ Symbian ไปโดยปริยาย แม้ช่วงหลังอาจมีการออกเวอร์ชั่นใหม่ๆ ออกมาเพื่อต่อลมหายใจกับระบบดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานดั่งเช่นอดีตได้ Nokia จึงเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจจาก Symbian และไปให้ความสนใจกับ Window Phone แทน โดยหวังจะตีตลาด Smartphone กับเขาบ้าง
ทว่า นั้นเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะระบบ Window Phone ที่หวังว่าจะเป็นผู้กู้สถานการณ์ให้กับ Nokia แต่กลับทำหน้าที่ระบบปฎิบัติการได้ไม่ดีอย่างที่หวัง เพราะในช่วงเวลานี้ IOS และ Android เป็นผู้ถือครองตลาดส่วนใหญ่และผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้งาน ทำให้ Window Phone เป็นเหมือนแกะดำ เนื่องจากไม่รองรับฟังชั่นหลายอย่างที่ควรจะทำได้ ผนวกกับยังมีการอัพเดทที่ล่าช้าไม่ทันความต้องการของผู้บริโภค แม้ต่อมาจะมีการพัฒนาระบบให้มีการรองรับการใช้ฟังชั่นได้มากขึ้น ทว่า ประสบการณ์ครั้งแรกที่น่าผิดหวัง ได้ตีตรา Window Phone ด้านคุณภาพต่ำเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้มูลค่าของ Window Phone หมดลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากความนิยมของตลาดที่ยังให้การสนับสนุนกับระบบ IOS และ Android มากกว่า
ด้วยสภาพที่ผกผันอย่างรุนแรง เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารคนใหม่ของ Microsoft ที่เข้ามาคุมเกมธุรกิจโทรศัพท์ Nokia ด้วยความไม่แตกฉานในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ทำให้แผนธุรกิจ Nokia เริ่มเสียรูปขบวน ประกอบกับการละทิ้งระบบปฎิบัตรการที่ถือเป็นต้นแบบสำคัญของ Nokia อย่าง Symbian และหันการทุ่มทุนกับ Window Phone ที่พัฒนาออกแบบมา เพื่อล้อไปตามกระแสนิยมของผู้บริโภคมันก็สร้างประสบการณ์อันน่าขบขัน ผิดกับคู่แข่งตัวเล็กพริกขี้หนูที่สร้างปรากฎการณ์ที่ตรึงใจผู้บริโภคได้อยู่หมัด แถมยังเป็นเหมือนศาสดาที่สอนให้มนุษย์ได้รู้จัก Smartphone เขาคือ สตีฟ จอบส์
สตีฟ จอบส์ นับเป็นนักธุรกิจ Startup ต้นแบบอย่างแท้จริง ด้วยการหาผลกำไรจากกระเป๋าผู้อื่นภายใต้วิสัยทัศน์ที่สังเกตเห็นความเป็นไปของเทคโนโลยี และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ผนวกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดแทรกนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ด้วยความคิดที่ก้าวล้ำ ทำให้ จอบส์ ก้าวหน้าและลุกล้ำพื้นที่ตลาดของรุ่นเก๋าอย่าง Nokia จนสิ้นท่าในที่สุด ซึ่งกลเม็ดสำคัญของเขาคือการยึดใจผู้ชมโดยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตคนได้อย่างกลมกลืนและลงตัวเป็นอย่างมาก กลับกัน ด้าน Nokia ที่ยังคงให้ความสำคัญกับความสำเร็จในอดีต โดยมีไม่มีการพัฒนาแนวคิดใหม่เพื่อผู้บริโภคแต่อย่างใด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบเดิมๆ การใช้งานแบบเดิมๆ แม้จะมีการสร้าง Smartphone มาแต่ความสำเร็จในด้านโทรศํพท์ไร้ปุ่มกับกลายเป็นของ Apple อีกทั้ง Nokia ยังละทิ้งระบบปฎิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ต้นจนเสียอัตลักษณ์ ทำให้ยุคสมัยของ Nokia ปิดฉากลงอย่างน่าเสียดาย
ถึงกระนั้น วันสิ้นลมของใครบางคนอาจเป็นการต่อลมหายใจให้ธุรกิจของใครบางคน วันที่ 5 ตุลาคม 2011 สตีฟ จอบส์ ได้เสียชีวิตลงจากปัญหาด้านสุขภาพเรื้อรัง แน่นอนบริษัท Apple ที่ขาดแม่ทัพใหญ่ไป ก็ไม่ต่างจากเด็กไร้พ่อ เพราะผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ปล่อยมาในช่วงหลัง ขาดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับการเดินย้ำอยู่กับที่ สิ่งนี้ส่งผลต่อความนิยมของ Apple อยู่ในอันตราย วันที่ 7 กันยายยน 2016 ประเทศเดนมาร์กได้มีการเปิดตัว iPhone 7 เป็นวันแรก ด้วยความเชื่อที่ว่า มันจะต้องเป็นการเปิดตัวที่มีคนมาร่วมงานคึกคักและหนาแน่นเหมือนทุกปี ถึงกลับมีการเตรียมพุกระดาษฉลองความยิ่งใหญ่ แต่วันนั้นกลับผิดคาด เนื่องจากมีผู้มาเข้าร่วมงานเปิดตัว iPhone 7 เพียงสองคนเท่านั้น ทำให้งานในวันนั้นดูเหงาหงอยสนิทตา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความรุ่งเรืองของ Apple กำลังสั่นครอน ขณะเดียวกัน Nokia ภายไต้การดูแลของ Microsoft แม้ระบบ Window Phone จะยังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตัวเองด้านศักยภาพ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่โทรศัพท์เครือ Nokia จะกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งยังมีอยู่ แถมในอนาคตอันใกล้ทาง Nokia มีแผนจะพัฒนาระบบ Android เพื่อให้สอดรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป การตัดสินใจในครั้งนี้อาจเป็นการฟื้นตำนานให้กลับมาอีกครั้ง แม้การกลับมาในครั้งนี้จะไม่ได้อยู่ใต้สมญาว่า Nokia ก็ตามที
อ้างอิงจาก
https://www.blognone.com/node/58767
http://thumbsup.in.th/2011/02/end-of-nokia-146-years
https://www.blognone.com/node/58767
หลังจากความล้มเหลวในการต่อสู้บนโลกอิเล็กทรอนิค ทำให้บริษัทระดับตำนานที่มีอายุอานาม 100 กว่าปีอย่าง Nokia ต้องส่งขายกิจการบางส่วนให้กับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ระดับโลกหรือที่เรารู้จักกันดีภายใต้ชื่อ Microsoft ในราคา 240,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติฟินแลนซ์ยังคงหายใจต่อไปได้ ขณะที่Microsoft ก็ไม่ปล่อยให้ของเล่นที่ซื้อมาหลายล้านบาทต้องเสียเปล่า โดยวันที่ 25 เมษายน 2557 บริษัท Microsoft ได้ก่อตั้งบริษัทโทรคมนาคมในชื่อ Microsoft Mobile ขึ้นมา นั้นทำให้ Microsoft เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท Nokia และยังเป็นผู้ถือเอกสิทธ์ในการผลิตและพัฒนาสินค้า แถมยังมัดมือ Nokia ให้เซ็นสนธิสัญญาสำคัญในการโทรศัพท์ทุกเครื่องที่ผลิตต่อจากนี้ คือระบบปฎิบัติการ Window Phone ซึ่งเป็นการตอกย้ำการล่มสลายของ Nokia อย่างถาวร
ต่อมาคือระบบปฎิบัติการ Symbian ซึ่งพัฒนาโดย Symbian Ltd.โดย ณ เวลานั้นระบบปฎิบัติการรุ่นเดอะ ได้รับความนิยมและมีศักยภาพสูงมาก แม้จะมีความซับซ้อนและใช้งานที่ลำบาก แต่เนื่องจากมีความอิสระในการใช้งานสูงตอบโจทย์ผู้บริโภคในวงกว้าง ทำให้โทรศัพท์ Nokia มีความโดดเด่นกว่าเจ้าใดๆ ในตอนนั้น ยิ่งมีการพัฒนาระบบ S60 2nd Edition ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของระบบปฎิบัติที่มีความสดใสและเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของระบบได้เป็นอย่างดี ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน S60 3rd Edition ซึ่งมาพร้อมระบบป้องกันภัย Symbian Signed สิ่งนี้ได้กลายเป็นทุ่นที่ทำให้ Nokia ค่อยๆ จมลงอย่างไม่คาดคิด
เพราะระบบรักษาความปลอดภัยดังกล่าว มีเงื่อนไขสำหรับผู้พัฒนามากมายผ่านการ Sign ก่อนจะให้ผู้บริโภคสามารถลงได้ อีกทั้งเมื่อมีการเข้าสู่ระบบเชิงลึกก็มีกระบวนการขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น อาทิ การซื้อ ใบรับรอง จาก Provider เสียก่อน แถมต้องมีการส่งหลักฐานมากมายภายใต้ราคาที่สูงลิบลิ่ว ขณะที่ตัวโปรแกรม Symbian ปกติก็มีระบบการใช้งานที่ซับซ้อนมากอยู่แล้ว ทำให้มันเป็นสิ่งที่หน้าขยาดสำหรับผู้บริโภคมากเข้าไปอีก ส่งผลแบรนด์ทั้งหลายหยุดการป้อนแอพฯ ให้กับ Symbian ไปโดยปริยาย แม้ช่วงหลังอาจมีการออกเวอร์ชั่นใหม่ๆ ออกมาเพื่อต่อลมหายใจกับระบบดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานดั่งเช่นอดีตได้ Nokia จึงเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจจาก Symbian และไปให้ความสนใจกับ Window Phone แทน โดยหวังจะตีตลาด Smartphone กับเขาบ้าง
ทว่า นั้นเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะระบบ Window Phone ที่หวังว่าจะเป็นผู้กู้สถานการณ์ให้กับ Nokia แต่กลับทำหน้าที่ระบบปฎิบัติการได้ไม่ดีอย่างที่หวัง เพราะในช่วงเวลานี้ IOS และ Android เป็นผู้ถือครองตลาดส่วนใหญ่และผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้งาน ทำให้ Window Phone เป็นเหมือนแกะดำ เนื่องจากไม่รองรับฟังชั่นหลายอย่างที่ควรจะทำได้ ผนวกกับยังมีการอัพเดทที่ล่าช้าไม่ทันความต้องการของผู้บริโภค แม้ต่อมาจะมีการพัฒนาระบบให้มีการรองรับการใช้ฟังชั่นได้มากขึ้น ทว่า ประสบการณ์ครั้งแรกที่น่าผิดหวัง ได้ตีตรา Window Phone ด้านคุณภาพต่ำเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้มูลค่าของ Window Phone หมดลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากความนิยมของตลาดที่ยังให้การสนับสนุนกับระบบ IOS และ Android มากกว่า
ด้วยสภาพที่ผกผันอย่างรุนแรง เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารคนใหม่ของ Microsoft ที่เข้ามาคุมเกมธุรกิจโทรศัพท์ Nokia ด้วยความไม่แตกฉานในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ทำให้แผนธุรกิจ Nokia เริ่มเสียรูปขบวน ประกอบกับการละทิ้งระบบปฎิบัตรการที่ถือเป็นต้นแบบสำคัญของ Nokia อย่าง Symbian และหันการทุ่มทุนกับ Window Phone ที่พัฒนาออกแบบมา เพื่อล้อไปตามกระแสนิยมของผู้บริโภคมันก็สร้างประสบการณ์อันน่าขบขัน ผิดกับคู่แข่งตัวเล็กพริกขี้หนูที่สร้างปรากฎการณ์ที่ตรึงใจผู้บริโภคได้อยู่หมัด แถมยังเป็นเหมือนศาสดาที่สอนให้มนุษย์ได้รู้จัก Smartphone เขาคือ สตีฟ จอบส์
สตีฟ จอบส์ นับเป็นนักธุรกิจ Startup ต้นแบบอย่างแท้จริง ด้วยการหาผลกำไรจากกระเป๋าผู้อื่นภายใต้วิสัยทัศน์ที่สังเกตเห็นความเป็นไปของเทคโนโลยี และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ผนวกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดแทรกนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ด้วยความคิดที่ก้าวล้ำ ทำให้ จอบส์ ก้าวหน้าและลุกล้ำพื้นที่ตลาดของรุ่นเก๋าอย่าง Nokia จนสิ้นท่าในที่สุด ซึ่งกลเม็ดสำคัญของเขาคือการยึดใจผู้ชมโดยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตคนได้อย่างกลมกลืนและลงตัวเป็นอย่างมาก กลับกัน ด้าน Nokia ที่ยังคงให้ความสำคัญกับความสำเร็จในอดีต โดยมีไม่มีการพัฒนาแนวคิดใหม่เพื่อผู้บริโภคแต่อย่างใด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบเดิมๆ การใช้งานแบบเดิมๆ แม้จะมีการสร้าง Smartphone มาแต่ความสำเร็จในด้านโทรศํพท์ไร้ปุ่มกับกลายเป็นของ Apple อีกทั้ง Nokia ยังละทิ้งระบบปฎิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ต้นจนเสียอัตลักษณ์ ทำให้ยุคสมัยของ Nokia ปิดฉากลงอย่างน่าเสียดาย
ถึงกระนั้น วันสิ้นลมของใครบางคนอาจเป็นการต่อลมหายใจให้ธุรกิจของใครบางคน วันที่ 5 ตุลาคม 2011 สตีฟ จอบส์ ได้เสียชีวิตลงจากปัญหาด้านสุขภาพเรื้อรัง แน่นอนบริษัท Apple ที่ขาดแม่ทัพใหญ่ไป ก็ไม่ต่างจากเด็กไร้พ่อ เพราะผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ปล่อยมาในช่วงหลัง ขาดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับการเดินย้ำอยู่กับที่ สิ่งนี้ส่งผลต่อความนิยมของ Apple อยู่ในอันตราย วันที่ 7 กันยายยน 2016 ประเทศเดนมาร์กได้มีการเปิดตัว iPhone 7 เป็นวันแรก ด้วยความเชื่อที่ว่า มันจะต้องเป็นการเปิดตัวที่มีคนมาร่วมงานคึกคักและหนาแน่นเหมือนทุกปี ถึงกลับมีการเตรียมพุกระดาษฉลองความยิ่งใหญ่ แต่วันนั้นกลับผิดคาด เนื่องจากมีผู้มาเข้าร่วมงานเปิดตัว iPhone 7 เพียงสองคนเท่านั้น ทำให้งานในวันนั้นดูเหงาหงอยสนิทตา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความรุ่งเรืองของ Apple กำลังสั่นครอน ขณะเดียวกัน Nokia ภายไต้การดูแลของ Microsoft แม้ระบบ Window Phone จะยังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตัวเองด้านศักยภาพ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่โทรศัพท์เครือ Nokia จะกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งยังมีอยู่ แถมในอนาคตอันใกล้ทาง Nokia มีแผนจะพัฒนาระบบ Android เพื่อให้สอดรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป การตัดสินใจในครั้งนี้อาจเป็นการฟื้นตำนานให้กลับมาอีกครั้ง แม้การกลับมาในครั้งนี้จะไม่ได้อยู่ใต้สมญาว่า Nokia ก็ตามที
อ้างอิงจาก
https://www.blognone.com/node/58767
http://thumbsup.in.th/2011/02/end-of-nokia-146-years
https://www.blognone.com/node/58767
คอลัมน์ ลับเฉพาะ : Nokia ผู้ล้มเหลวแห่งยุค IT
Reviewed by tonygooog
on
09:21:00
Rating:
Reviewed by tonygooog
on
09:21:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: